วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สายพันธ์ส้มโชกุน

สายพันธ์ส้ม
ส้มโชกุน


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ :Citrus reticulata Blanco

วงษ์ :RUTACEAE

ลักศณะทางพฤษศาสตร์ :ทรงต้น : มีทรงพุ่มเน่นกว่าส้มเขียวหวาน / กิ่งและใบ : กิ่งและใบจะตั้งขึ้น ใบสีเขียวเข้ม ขนาดของใบเล็กกว่าส้มเขียวหวาน เมื่อนำใบมาขยี้แล้วดมจะมีกลิ่นหอม / ดอก : มีดอกสีขาว ใหญ่กว่าส้มเขียวหวานเล็กน้อย จะออกดอกมาในเดือนมกราคม - กุมภาพันธุ์ / ผล : มีลักษณะเหมือนกับส้มเขียวหวานมาก ผลแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดง ปอกเปลือกง่าย ล่อน ชานมีลักษณะนิ่ม ให้น้ำส้มในปริมาณมาก รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ กลิ่นหอม มีน้ำหนักดีกว่าส้มเขียวหวาน

พันธ์ :โชกุนสีทอง

การปลูก :
เตรียมพื้นที่ปลูก : เตรียมหลุมขนาด 50 X50X50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกเก่า และปุ๋ยร็อคฟอสเฟต
ประมาณ 300 – 500 กรัม คลุกเคล้าให้เข้ากัน

วิธีปลูก : ระยะปลูก ใช้ระยะปลูก 6X6 เมตร หรือ 6X5.5 เมตร
การปลูก นำกิ่งพันธุ์ดีลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้เรียบร้อย ให้รดน้ำพร้อมทั้งใช้ไม้หลักปักผูกเชือก
กับลำต้น เพื่อกันลมพัดโยก และควรพรางแสงให้ระยะหนึ่ง


การตัดแต่งและควบคุมทรงพุ่ม :ในช่วงที่ส้มอายุ1–2ปีจะไม่มีการตัดแต่งกิ่งเพื่อต้องการให้ส้มเจริญเติบโตแตกกิ่งก้านสาขา
อย่างเต็มที่แต่พอเข้าช่วงปีที่3และ4การตัดแต่งกิ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้นโดยเฉพาะหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต
การให้ปุ๋ย :ควรเป็นปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ สูตรปุ๋ยชนิด และปริมาณจะแตกต่างไปตามชนิดของต้นและอายุของส้ม
• ส้มปลูกใหม่จนถึงก่อนให้ผลใช้สัดส่วน 2:1:1 ปีละหลาย ๆ ครั้งๆ ละน้อย ๆ
• ช่วงออกดอก ใช้สัดส่วน 1:2:1
• ส้มให้ผลผลิตแล้ว ใช้สัดส่วน 1:1:1 หรือ 2:2:3
• ส้มให้ผลผลิตแล้ว ใช้สัดส่วน 1:1:1 หรือ 2:2:3
• การให้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก อัตรา 3 กระสอบปุ๋ยต่อต้นต่อปี ใส่ช่วงต้นฤดูฝน

การให้น้ำ :ระยะเจริญเติบโต ให้น้ำปกติ 
•ระยะการออกดอก ส้มต้องการน้ำน้อย เพื่อให้มีช่วงสะสมอาหาร
•ระยะติดผลถึงผลแก่ ต้องการน้ำมากขึ้น
•ระยะผลส้มเข้าสีแล้วลดปริมาณน้ำลง จะช่วยให้ผลส้มแก่เร็วขึ้น
•ระยะก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณ 2 สัปดาห์ ถ้างดการให้น้ำจะช่วยให้ส้มมีรสหวานขึ้น
• การเพิ่มปริมาณน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ จะช่วยชะลอการสุกของผลส้มได้ประมาณ 20 วัน

การเก็บเกี่ยว :เมื่อผลส้มอายุประมาณ10เดือนหลังจากออกดอกก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้โดยใช้มือจับบริเวณด้านใต้ผลส้มขึ้นไป แล้วหักพับให้ตรงส่วนขั้วผลไปด้านใดด้านหนึ่ง ผลส้มก็จะหลุดออกได้โดยง่าย

แหล่งปลูก :ยะลา

อ้างอิง :(สายพันธ์ส้มโชกุน)http://natres.psu.ac.th/researchcenter/tropicalfruit/fruit/chokun.htm

สายพันธ์ส้มโอ

สายพันธ์ส้ม
ส้มโอ

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Citrus maxima (Burm.) Merrill

วงษ์ : RUTACEAE

ลักษณะทางพฤษศาสตร์ : ส้มโอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านสาขาที่เรือนยอด ลำต้นมีสีน้ำตาล มีหนามเล็ก ๆ สูงประมาณ 8 เมตร ใบเป็นแผ่นหนาสีเขียวเข้ม โคนก้านใบมีหูใบแผ่ออกเป็นรูปหัวใจ แผ่นใบเหมือน มะกรูด คือแบ่งใบเป็น 2 ตอน แต่ขนาดใบใหญ่กว่า ใบหนาแข็ง มีสีเขียวแก่ มีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อสั้นหรือดอกเดี่ยว ตามบริเวณง่ามใบ มีสีขาว ปลายกลีบมนมี 4 กลีบ กลางดอกมี เกสร 20-25 อัน ผลกลมโต บางพันธุ์ตรงขั้วมีจุกสูงขึ้นมา ผิวผลเมื่อยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จัดเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง ผิวของผลไม่เรียบ ผิวของเปลือกผลมีต่อมน้ำมันกระจายทั่วไป ภายในผลเป็นช่อง ๆ มีแผ่นบาง ๆ สีขาวกั้นเนื้อให้แยกออกจากกัน เนื้อแต่ละส่วนเรียกว่า "กลีบ" มีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว มีเมล็ดฝังอยู่ระหว่างเนื้อมากกว่า 1 เมล็ด

พันธ์ส้มโอ : พันธุ์ส้มโอที่ปลูกอยู่ในประเทศไทยมีหลายพันธุ์ บางพันธุ์ก็มีลักษณะใกล้เคียงกันแต่ปลูกคนละท้องที่ จึงเรียก ชื่อแตกต่างกันไป พันธุ์ส้มโอที่ปลูกเพื่อการค้าแบ่งออกได้ดังนี้

1 . พันธุ์การค้าหลัก ได้แก่ ขาวพวง ขาวทองดี ขาวน้ำผึ้ง เป็นต้น 

2. พันธุ์การค้าเฉพาะแห่ง ได้แก่ ขาวแป้น ขาวหอม ขาวแตงกวา ท่าข่อย ขาวใหญ่ หอมหาดใหญ่ เจ้าเสวย กรุ่น ขาวแก้ว เป็นต้น

การขยายพันธ์ : 
1.การเพาะเม็ด 

2.การติดตา 

3.การเสียบกิ่ง 

4. การตอน 

การปลูก : ถ้าเป็นการปลูกส้มโอแบบยกร่อง จะปลูกเป็นแถวเดียว ใช้ระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 6 เมตร โดยขุดหลุมปลูกกลางแปลงดิน ส่วนการปลูกในพื้นที่ดอนจะปลูกตามลักษณะของพื้นที่โดยให้มีระยะระหว่างต้นและระหว่างแถว ประมาณ 6 x 6 เมตร 
 หลุมปลูกควรมีขนาดความกว้างประมาณ 0.5 เมตร ขุดหลุมแยกดินบนและดินล่างไว้แยกกัน กองไว้ปากหลุม แล้วตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 - 2 เดือน เพื่อให้แสงแดดฆ่าเชื้อโรคเชื้อราต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในดิน ผสมดินปนกับปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เศษใบไม้ หญ้าแห้ง และบางส่วนของดินชั้นล่าง แล้วกลบลงไปในหลุมจนเต็มปากหลุม นำกิ่งพันธุ์ส้มโอที่เตรียมไว้ปลูกตรงกลางหลุม โดยให้ระดับของดินอยู่เหนือตุ้มกาบมะพร้าว กิ่งตอนเล็กน้อย หรือถ้าเป็นกิ่งตอนที่ชำแล้วให้ระดับพอดีกับระดับดินที่ชำ แล้วใช้ไม้หลักปักให้ถึงก้นหลุมเพื่อกันลมโยก รดน้ำให้ชุ่ม หาวัสดุพรางแสงแดด เช่น ทางมะพร้าว หรือกิ่งไม้ที่มีใบใหญ่พรางแสงแดดทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

การให้น้ำ : ในระยะที่ปลูกส้มโอใหม่ ๆ ต้องหมั่นให้น้ำสม่ำเสมอจนกว่าจะตั้งตัวได้ เมื่อส้มโอเจริญเติบโตดีแล้ว ให้น้ำเป็นครั้งคราวเมื่อจำเป็น
การใส่ปุ๋ย : ส้มโอควรใส่ทั้งปุ๋ยเคมีและปุ๋ยคอกควบคู่กันไป ในระยะที่ส้มโออายุ 1 - 3 ปี หรือยังไม่ให้ผล ให้ใส่ปุ๋ยคอกเก่า ผสมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15 - 15 - 15 ปุ๋ยเคมีใช้อัตรา 300-500 กรัม/ต้น/ครั้ง โดยใส่ 3 - 4 ครั้ง/ปี เมื่อส้มโอให้ผลแล้วเมื่อ อายุ 4 ปีขึ้นไป การใส่ปุ๋ยจะแตกต่างกันไปตามช่วงของการ ออกดอกติดผล 
 กล่าวคือ หลังจากเก็บเกี่ยวผลแล้วจะให้ปุ๋ยสูตร 15 - 15 -15 เพื่อให้ต้นส้มโอฟื้นตัวจากการออกผลเร็วขึ้น เมื่อส้มโอจะเริ่มออกดอกใหม่ให้เปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือ 12 - 24 - 12 เพื่อช่วยให้มีการสร้างดอกดีขึ้น เมื่อติดผล แล้วประมาณ 30 วัน ขณะที่ผลยังเล็กอยู่ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15 - 15 -15 เพื่อช่วยให้การเจริญเติบโตของผลดีขึ้น จนกระทั่ง ผลมีอายุได้ 5-6 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13 - 13 - 21 เพื่อช่วยให้ ผลมีการพัฒนาด้านคุณภาพของเนื้อดีขึ้น มีความหวานมากขึ้น ส่วนอัตราการใช้ควรพิจารณาจากขนาดของทรงพุ่มและ จำนวนผลที่ติดในแต่ละปี โดยทั่วไปเมื่อต้นส้มโออายุได้ 6-7 ปี ก็จะโตเต็มที่ การใส่ปุ๋ยอาจจะใส่ครั้งละประมาณ 1 กิโลกรัม สำหรับต้นส้มโอที่มีการติดผลมาก ควรใส่ปุ๋ยทางใบเสริม เพื่อช่วยให้ผลส้มโอมีคุณภาพดี หรือต้นส้มโอที่มีสภาพโทรม มาก ๆ จากการที่มีน้ำท่วมหรือน้ำเค็มควรให้ปุ๋ยทางใบเสริมจะ ช่วยให้การฟื้นตัวของต้นส้มโอเร็วขึ้น

การตัดแต่งและควบคุมทรงพุ่ม : ควรตัดแต่งกิ่งที่ขึ้นแข่งกับลำต้นให้หมด รวมทั้งกิ่ง ที่ไม่ได้ระเบียบ กิ่งที่มีโรคแมลงทำลายออกทิ้ง การตัดแต่งกิ่งควร ทำด้วยความระมัดระวังอย่าให้กิ่งฉีก หลังจากตัดแต่งกิ่งควรใช้ ยากันเชื้อราหรือปูนกินหมากผสมน้ำทาตรงรอยแผลที่ตัด เพื่อกันแผลเน่าเนื่องจากเชื้อรา เดษที่เหลือจากการตัดแต่งกิ่ง ควรรวมไว้เป็นกองแล้วนำไปเผาทำลายนอกสวน

แหล่งปลูก : ชุมพร, นครศรีธรรมราช, สมุทรสงคราม, พิจิตร, เชียงราย

การเก็บเกี่ยว : เก็บผลเมื่อมีอายุ 7.0 - 7.5 เดือน นับจากวันดอกบาน ใช้กรรไกรตัดก้านขั้วผล และมีถุงผ้ารองรับ เพื่อป้องกันมิให้ผลตกกระแทกพื้น เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จ ควรมีการคัดคุณภาพเบื้องต้น

เอกสารอ้างอิง : (สายพันธ์ส้มโอ)
http://natres.psu.ac.th/researchcenter/tropicalfruit/fruit/pomelo.htm

สายพันธ์ส้มจี๊ด

สายพันธ์ส้ม

ส้มจี๊ด

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ :Citrus Japonica Thunb.


ชื่อสามัญKumquat, Tound and Marumi Kumquat


ชื่อวงษ์ : RUTACEAE


ชื่ออื่นๆ : ส้มมะปี๊ด (ใช้เรียกทั่วไป) กำกั๊ด กิมกิด (ชาวจีน) ส้มเกล่า (จ.ระนอง)


ลักษณะทางพฤษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง แตกแขนงเป็นพุ่มแน่น สูง 1.5 - 3 เมตร กิ่งมีหนามแหลมคม ยาว 1 - 3 เซนติเมตร ใบรูปไข่กว้าง 2 - 4 เซนติเมตร ยาว 4 - 7 เซนติเมตร ปลายและโคนแหลม สีเขียวสดเป็นมัน มีหูใบขนาดเล็ก ดอกออกดอกเดี่ยว แต่ มักออกรวมกันเป็นกลุ่ม มีสีขาว และกลิ่นหอมแรง ออกเป็นช่อสั้นตามซอกใบและปลายกิ่งกลีบเลี้ยงรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 5 แฉกกลีบดอก 5 กลีบ ร่วงง่าย เมื่อบานจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ติดผลดก ผลค่อนข้างกลมเหมือนส้มทั่วไป แต่มีขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลาง1.5 - 3 เซนติเมตร ผิวบางสี เขียว กลิ่นหอม เมื่อผลสุกมีสีเหลืองส้ม เนื้อมีรสเปรี้ยวจัด มีเมล็ด 1 - 3 เมล็ด รับประทานแทนมะนาวได้


การขยายพันธ์ :  เมล็ดและการตอนกิ่ง


การปลูก :1.ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน

2.ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร

3.ผสมดิน ปุ๋ยคอก เข้าด้วยกันในหลุมให้สูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม


4.ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุม ใช้มีดที่คมกรีดถุงดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก


5.กลบดินที่เหลือลงไปในหลุมกดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น


6.ปักไม้หลักและผูกเชือกยึดเพื่อป้องกันลมพัดโยก


7.หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง

8.รดน้ำให้ชุ่ม


การตัดแต่งและควบคุมทรงพุ่ม การตัดแต่งกิ่งโดยเลือกตัดแต่งกิ่งแขนงที่รกทึบด้านล่างและกลางลำต้นออกเพื่อให้แสดงแดดสามารถส่องถึงโคนต้น กิ่งปลายยอดที่ห้อยลงชิดดิน กิ่งที่อ่อนแอ กิ่งน้ำค้าง กิ่งที่มีลักษณะคดงอไขว้กัน ทับกันและกิ่งที่เป็นโรคหรือถูกแมลงทำลาย


การให้น้ำ การให้น้ำเป็นสิ่งจำเป็นมากในช่วงแรก เพราะถ้าปล่อยให้ส้มจี๊ดขาดน้ำจะทำให้ต้นไม่สมบูรณ์โรคและแมลงเข้าทำลายได้ง่าย ระยะที่ปลูกใหม่ๆ ควรให้น้ำทุกวัน หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ ส้มเริ่มตั้งตัวได้แล้ว การให้น้ำควรให้ในช่วงที่ฝนทิ้งช่วงแต่เมื่อส้มโตแล้วการให้น้ำจะต้องควบคุมให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ


การเก็บเกี่ยว สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เมื่อส้มจี๊ดมีอายุได้ประมาณ 1 ปี

ให้เก็บส้มที่มีผลที่มีแต้มสีเหลืองนิดๆ ไม่สุกจัดมากจนเกินไป

ให้เก็บติดขั้วผลจะทำให้เก็บส้มไว้ได้นานไม่เน่าเสีย

สามารถจำหน่ายได้ในราคากก.ละ 30-35 บาท


เอกสารอ้างอิง :  (สายพันธ์ส้มจี๊ด) http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=5764&s=tblplant

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สายพันธ์ุส้มจุก

สายพันธ์ุส้ม

ส้มจุก



ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Citrus reticulata Blanco

วงศ์ :RUTACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
  ส้มจุก เป็นส้มในกลุ่มส้มเปลือกล่อนเช่นเดียวกับส้มโชกุน และส้มเขียวหวาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากส้มชนิดอื่น คือบริเวณขั้วผลมีปุ่มยื่นออกมาคล้ายจุก ภาษาท้องถิ่นภาคใต้เรียกส้มชนิดนี้ว่า "ส้มแป้นหัวจุก" แหล่งปลูกดั้งเดิมอยู่ที่ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ตามประวัติที่เล่าสืบต่อกันมาส้มจุกมีการเพาะปลูกมาก่อน ปี พ.ศ. 2444 ซึ่งเป็นการเพาะปลูกของเกษตรกรรายย่อย ต่อมาเมื่อได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจึงมีการขยายพื้นที่ปลูกไปทุกตำบลในอำเภอจะนะ ในสมัยนั้นผลผลิตแพร่หลายไปสู่ผู้บริโภค ในภูมิภาคต่างๆ จากชื่อเสียงและรสชาดที่ดีของส้มจุกทำให้มีการขยายพื้นที่ปลูกไปยังแหล่งอื่นๆ

การขยายพันธุ์ :การตอน/ การติดตา

การปลูก
วิธีปลูก : ไม่ว่าจะเป็นที่ลุ่มและพื้นที่ดอน ต้องมีการยกร่อง เพื่อให้ระบบรากระบายน้ำออกจากระบบรากอย่างรวดเร็ว ระยะปลูก คือ ระยระหว่างแถว 5-6 ม. ระยะระหว่างต้น 4-5 ม. ขุดหลุมขนาด 50x50 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกก่อนปลูก

การตัดแต่งและควบคุมทรงพุ่ม
  เริ่มตั้งแต่เริ่มปลูก และตัดแต่งทรงพุ่มหลังการเก็บเกี่ยวทุกครั้ง เพื่อสร้างความสมบูรณ์ของต้น โดยตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค กิ่งกระโดง และกิ่งที่ทำมุมแคบกับลำต้น การจัดการทรงพุ่มของส้มมีผลในการลดต้นทุนการผลิต ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสูง สะดวกต่อการจัดการดูแลรักษา

การให้ปุ๋ย
  การใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมี 2-3 เดือนต่อครั้ง ตั้งแต่เริ่มปลูกพร้อมกับการฉีดพ่นปุ๋ยธาตุอาหารเสริมทางใบ โดยใส่ปุ๋ยเคมีในระยะต่างๆ ดังนี้
ช่วงการเจริญเติบโตก่อนการให้ผลผลิต หลังการเก็บเกี่ยวและตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15
ช่วงก่อนการออกดอก ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 หรือ 9-24-24
ช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว 1 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 หรือ 0-0-50

การให้น้ำ
  การให้น้ำสามารถทำได้หลายวิธีจะเลือกใช้วิธีการใดนั้นจะต้องพิจารณาจากลักษณะภูมิประเทศ คุณสมบัติของดินลักษณะของพื้นที่วิธีการเพาะปลูกเงินค่าลงทุนตลอดจนปริมาณของน้ำที่จะหาได้ในพื้นที่นั้นๆ

การเก็บเกี่ยว
  ใช้กรรไกรตัดช่อผลแล้วจึงตัดก้านออกไม่ให้เหลือติดอยู่กับผล เพราะก้านผลที่เหลืออยู่อาจทิ่มแทงส้มจุกผลอื่นทำให้เกิดแผล เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วควรใส่ในภาชนะที่ไม่ลึกมากนัก เพราะจะทำให้ส้มช้ำได้

แหล่งปลูก
  สงขลา, สตูล, ประจวบคีรีขันธ์, กระบี่


เอกสารอ้างอิง :(สายพันธ์ุส้มจุก)
http://natres.psu.ac.th/researchcenter/tropicalfruit/fruit/neckorange.htm